อารยธรรมอินเดียโบราณ
อารยธรรมอินเดียกำเนิดในบริเวณที่อยู่ระหว่างแม่น้ำสินธุและแม่น้ำคงคา ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “อนุทวีป” หรือเอเชียใต้ในปัจจุบัน
เป็นอารยธรรมที่เกิดจากการหล่อหลอมและผสมผสานความเจริญของชนชาติต่างๆ
ที่ได้เข้ามาครอบครองและตั้งถิ่นฐาน จนกลายเป็น “อารยธรรมอินเดีย”
ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาอารยะรรมในภูมิภาคเอเชียอื่นๆ
นับว่าเป็นรากฐานสำคัญของอารยะรรมตะวันออก
1.สภาพภูมิศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมอารยธรรมอินเดีย
ที่ตั้ง อินเดียมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ดินแดนทางตอนเหนือและตอนใต้ถูกแบ่งแยกจากกันด้วยที่ราบสูงเดคคาน เป็นผลให้ทั้งสองเขตมีความแตกต่างกันทั้งด้านภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ
การประกอบอาชีพ และการหล่อหลอมอารยธรรม
ตอนเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือ มีเทือกเขาหิมาลัยที่หนาวเย็นและสูงชันกั้นไม่ให้อินเดียติดต่อกับดินแดน
อื่นได้สะดวก อย่างไรก็ตาม
ก็ยังมีช่องแคบไคเบอร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ติดต่อกับดินแดนนอื่นทางตะวัน ตกได้
เช่น เปอร์เซีย กรีก และโรมัน ดังนั้นบริเวณอินเดียตอนเหนือจึงรับและผสมผสานอารยธรรมที่เข้ามาทางช่องแคบ
ไคเบอร์ ทั้งที่มาจากการติดต่อค้าขายและรุกรานของชาติอื่นๆ เช่น
พวกอารยันและมุสลิม
ตะวันตกและตะวันออก เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ แม่น้ำคงคา
และแม่น้ำสาขาของแม่น้ำทั้งสองที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่กาประกอบ เกษตรกรรม
โดยเฉพาะแม่น้ำคงคา
ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัยและนำความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พื้นที่ในลุ่ม แม่น้ำ
จึงเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงชาวอินเดีย และเป็นบ่อเกิดของศาสนา
ความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ในอารยธรรมอินเดีย เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ
อนึ่ง ความอุดมสมบูรณ์ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำต่างๆ
ทำให้ชนต่างชาติพยายามรุกรานและยึดครองอินเดียตลอดมา
ตอนกลาง เป็นเขตที่ราบสูงเดคคานที่แห้งแล้งและทุรกันดาร
เพาะถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงซึ่งขวางกั้นการติดต่อระหว่างอินเดียเหนือและ
อินเดียใต้ แต่ก็นับเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญของอินเดีย
เพราะเป็นพื้นที่เกษตรกรรมซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวอินเดีย
และยังคงอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรป่าไม้และแร่ธาตุต่างๆ
ตอนใต้ ไม่สามารถติดต่อกับดินแดนทางตอนเหนือได้สะดวก
แต่สามารถติดต่อกับดินแดนอื่นๆนอกประเทศได้ง่าย เนื่องจากมีที่ราบแคบๆ ยาวขนานกับชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียทั้ง
2 ฝั่ง
ประชากรในแถบนี้มีการติดต่อค้าขายและแลกเปลี่ยนอารยธรรมกับดินแดนอื่น เช่น อียิปต์
เมโสโปเตเมีย ลังกา และดินแดนในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อารยธรรมของชาวอินเดียใต้จึงมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากชาวอินเดียทางตอนเหนือ
ภูมิอากาศ อินเดียมีภูมิอากาศแห้งแล้งเพราะฝนตกน้อยประมาณปีละ
4 เดือน และมีอากาศร้อนจัด ปีใดฝนตกน้อยกว่าปกติ
การเพาะปลูกจะไม่ได้ผลและเกิดความอดอยาก ในเขตตรงข้าม
ปีใดที่ฝนตกมากเกินไปจะเกิดอุทกภัย พืชผลได้รับความเสียหาย อนึ่ง
ปีที่มีอากาศร้อนจัดมากๆ เช่น อุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไปมักจะเกิดภัยแล้ง
พืชผลส่วนใหย่ไม่อาจต้านทานความแห้งแล้งได้เพราะอากาศขาดความชุ่มชื้น
สภาพภูมิอากาศจึงมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตและความเชื่อของชาวอินเดียวึ่ง
ต้องพึ่งพาธรรมชาติ
ดังเช่นการบูชาแม่น้ำคงคาว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่นำความชุ่มชื้นและ
อุดมสมบูรณ์มาให้ อนึ่ง
ลักษณะภูมิอากาศยังทำให้ชาวอินเดียมีความอดทนในการต่อสู้กับความยากลำบาก
ด้วยวิธีการต่างๆ พร้อมกับการยอมรับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
2.การพัฒนาอารยธรรมอินเดียโบราณของกลุ่มต่างๆ
ความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์
ส่งเสริมให้ชนชาติต่างๆ ขยายอิทธิพลเข้ามาครอบครองอินเดีย
เป็นผลให้เเกิดการผสมผสานและหล่อหลอมอารยธรรมของชนชาติต่างๆ
ที่เข้ามาปกครองอินเดีย ชนชาติที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอารยธรรมอินเดียโบราณ
ได้แก่ พวกดราวิเดียน หรือทราวิฑ (Dravidian) และอารยัน (Aryan)ดราวิเดียน อารยธรรมอินเดียโบราณเกิดขึ้นในลุ่มแม่น้ำสินธุ
(อยู่ในแคว้นปัญจาบ ประเทศปากีสถาน) เมื่อประมาณ 2500 ปีก่อนคริสต์ศักราช
หรือประมาณ 4500 ปีมาแล้ว
เรียกกันทั่วไปว่าอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (Indus Civilization) จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่ามีศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่บริเวณเมืองโมเฮ
นโจดาโร (Mohenjo Daro) และเมืองอารัปปา (Harappa)
ในเขตลุ่มแม่น้ำสินธุ
เชื่อกันว่าเป็นอารยธรรมของพวกดราวิเดียนซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในเขตนี้ลักษณะเด่นของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ
คือ มีความเจริญในลักษณะสังคมเมือง มีการวางผังเมืองที่เป็นระเบียบ บ้านเรือน
แต่ละหลังมีห้องน้ำ และมีท่อระบายน้ำเชื่อมต่อกับท่อระบายน้ำของเมือง
นอกจากนี้บ้านบางหลังยังก่อสร้างสูงถึง 3 ชั้น
วัสดุก่อสร้างทำด้วยอิฐซึ่งมีคุณภาพดีและมีขนาดเท่ากันทุกก้อน
เหล่านี้ล้วนแสดงถึงภูมิปัญญาด้านสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างของพวกดราวิเดียนในอดีตชาวลุ่มแม่น้ำสินธุยุคนี้ดำรงชีวิตด้วยการค้าและการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม
หลักฐานที่พบจากการขุดค้นแสดงว่าพวกเขามีการติดต่อค้าขายกับดินแดนเมโสโปเตเมียตั้งแต่ราว
2300 ปีก่อนคริสต์ศักราช สินค้าที่ผลิตเพื่อจำหน่าย ได้แก่
ผ้าฝ้าย เครื่องปั้นดินเผาเขียนลวดลาย เครื่องทองแดงและทองเหลือง
และเครื่องประดับที่ทำด้วยทองและเงิน นอกจากนี้
พวกเขายังรู้จักประดิษฐ์อักษรของตนเอง และมีความเชื่อทางศาสนา
โดยนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ทั้งคน สัตว์ ต้นไม้
และสิ่งของต่างๆอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเสื่อมสลายตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน
สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วมเมือง และโรคระบาด
หรืออาจถูกรุกรานจากชนชาติอื่น (อารยัน) ที่มีอำนาจเหนือกว่าอารยัน อารยัน
เป็นอินโด-ยูโรเปียนเผ่าหนึ่ง เป็นพวกนักรบและมีอาชีพเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน
ได้รุกรานเข้ามาทางตะวันตกเฉยงเหนือของอินเดียตั้งแต่ประมาณ 1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือ 3500 ปีมาแล้ว
จากนั้นได้เข้าครอบครองลุ่มแม่น้ำสินธุและขยายเข้าไปในลุ่มแม่น้ำคงคา
ทำให้ชาวพื้นเมืองเดิมหรือพวกดราวิเดียนต้องถอยลงไปทางตอนใต้
โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัทราส (Madras) หรือเมืองเชนไน (Chennai)
ปัจจุบันหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงอารยธรรมอารยันยุคแรกหรือยุคพระเวทตอนต้น
(ประมาณปี 1500-1000 ก่อนคริสต์ศักราช) คือ คัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นทั้งบทสวดสรรเสริญบูชาเทพเจ้า
หลักปฏิบัติในพิธีกรรมทางศาสนาและหลักปรัชญาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
นอกจากนี้ยังมีวรรณกรรมสำคัญอีก 2 เรื่องคือมหากาพย์เรื่องมหาภารตะ และรามายณะ ซึ่งให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันต่างๆ
ของอินเดียโบราณโดยเฉพาะด้านการปกครอง สังคม และศาสนา อนึ่ง
ภาษาที่ใช้ในวรรณกรรมเหล่านี้ คือ ภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นภาษาของพวกอารยัน
ดังนั้นภาษาสันสกฤตจึงแพร่หลายสืบทอดต่อมาถึงปัจจุบัน
ในระยะแรก
พวกอารยันมีการปกครองในลักษณะนครรัฐ แต่ละรัฐเป็นอิสระต่อกัน
บางแห่งมีหัวหน้าเผ่าเป็นผู้ปกครองและบางแห่งมีกษัตริย์ปกครอง
แต่เนื่องจากอารยันเป็นชนชั้นปกครองและเป็นพวกอินโด-ยูโรเปียนจึงไม่ต้องการให้มีการผสมผสานทางเชื้อชาติกับชาวพื้นเมืองเดิมซึ่งแตกต่างจากตน
พวกเขาได้กำหนดโครงสร้างของสังคมโดยจำแนกกลุ่มคนเป็น 4 วรรณะคือ วรรณะพราหมณ์ ซึ่งเป็นวรรณะสูงสุดผู้ประกอบพิธีกรรมและสืบทอดศาสนา รองลงมา คือ วรรณะกษัตริย์ เป็นชนชั้นปกครองหรือนักรบ
วรรณะที่ 3 คือ วรณะแพศย์ เป็นสามัญชนทั่วไป และวรรณะศูทร ได้แก่ ชาวพื้นเมืองซึ่งทำหน้าที่รับใช้วรรณะอื่นๆ
นอกจากนี้ยังห้ามไม่ให้มีการแต่งงานข้ามวรรณะ หากมีการฝ่าฝืน
บุตรของผู้ที่แต่งงานข้ามวรรณะจะต้องเป็น พวกจัณฑาล ซึ่งมีสถานะต่ำที่สุด
และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในสังคมของวรณะอื่นๆ
ศาสนาของพวกอารยันคือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ที่นับถือเทพเจ้าสำคัญ 3 องค์คือ
พระศิวะหรือพระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุด
พระวิษณุหรือพระนารายณ์ซึ่งจะอวตารลงมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อดับทุกข์เข็ญ
และพระพรหมผู้สร้างโลก
พราหมณ์เป็นผู้ที่ติดต่อกับเทพเจ้าได้ด้วยการประกอบพิธีกรรมและร่ายบทสวดมนต์บูชาเทพเจ้าตามคัมภีร์พระเวท
ดังนั้นจึงมีบทบาทสำคัญในสังคมอินเดีย อนึ่ง
ศาสนายังสอนให้คนยอมรับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
ทำให้ชาวอินเดียยอมรับชะตากรรมของตนในโลกปัจจุบัน
ซึ่งรวมถึงการดำรงอยู่ในวรรณะที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด
แล้วมุ่งทำความดีเพื่อจะได้หลุดพ้นจากวัฏสารนับว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีอิทธิพลสำคัญต่อการหล่อลหอมความคิด
ความเชื่อ และวิถีชีวิตของชาวอินเดียมากหลังยุคพระเวท (ประมาณ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือสมัยพุทธกาล)
ได้เกิดอารยธรรมสำคัญขึ้นคือศาสนาพุทธและศาสนาเชน
ชาวอินเดียบางส่วนได้หันไปเสื่อมใสศาสนาทั้งสอง
ศาสนาพุทธกำเนิดในบริเวณที่เป็นประเทศเนปาลปัจจุบันเมื่อปี 543 ก่อนคริสต์ศักราช และเจริญรุ่งเรืองในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (273-232
ก่อนคริสต์ศักราช) จากนั้นก็แพร่หลายในดินแดนอื่นๆ เช่น ศรีลังกา
เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทยประมาณปี 413-322
ก่อนคริสต์ศักราช อินเดียถูกรุกรานจากชนต่างชาติคือ
เปอร์เซียและกรีก
ต่อมาพวกเขาได้สถาปนาจักรวรรดิของพวกอารยันครั้งแรกในสมัยราชวงศ์เมารยะ (322-185
ปีก่อนคริสต์ศักราช) ในช่วงคริสต์ศักราช กษัตริย์ของชาวอารยันแห่งราชวงศ์คุปตะ
(ค.ศ.320-535) สามารถสถาปนาจักรวรรดิปกครองดินแดนของตนและพัฒนาความเจริญด้านต่างๆ
ของอารยธรรมอินเดีย เป็นต้นว่า ศาสนา การศึกษา สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม วรรณกรรม
กฎหมาย วิทยาการด้านการแพทย์ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ ฯลฯ
อารยธรรมเหล่านี้ได้แพร่หลายเข้าไปในดินแดนอื่นๆ
และกลายเป็นรากฐานของอารยธรรมในดินแดนนั้นๆ ด้วย เช่น อารยธรรมไทย เขมร ฯลฯหลังจากนั้น
อินเดียก็ถูกพวกมุสลิมซึ่งเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือรุกรานและปกครองนานหลายร้อยปีจนกระทั่งสูญเสียอำนาจให้แก่อังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่
18 แม้ว่าอินเดียถูกรุกรานและปกครองโดยชนชาติอื่นหลายกลุ่มนานหลายศตวรรษและทำให้อารยธรรมอินเดียมีลักษณะผสมผสานมากขึ้น
แต่อารยธรรมสำคัญของพวกอารยันคือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
และระบบวรรณะก็ยังคงเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของอารยธรรมอินเดียสืบเนื่องต่อมา
อ้างอิง
ธิติมา
พิทักษ์ไพรวัน.ประวัติศาสตร์ยุคโบราณ.พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์
ไทยวัฒนา พานิช จำกัด,2518.
ธิติมา พิทักษ์ไพรวัน.ประวัติศาสตร์ยุคโบราณ.พิมพ์ครั้งที่ 4.
กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด,2518